วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B vaccine)

โรคตับอักเสบ คืออะไร?

     ตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ  ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ไวรัสตับอักเสบมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบจะทำให้เซลล์ตับตายหากปล่อยให้เรื้อรังจะเกิดพังผืดอาจทำให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) ติดต่อกันอย่างไร?

  • การติดเชื้อที่พบบ่อย คือการถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารก แต่ในปัจจุบันจดลดลงมาก เพราะการฉีดวัคซีนให้ทารกที่คลอดมาจะช่วยป้องกันได้เกือบร้อยละ 100 ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อถ้าติดจากมารดาและเกิดก่อน พ.ศ. 2535
  • มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อไวรัสเอดส์
  • การสัก เจาะหูหรือการฝังเข็มโดยอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง
  • การได้รับเลือด และส่วนประกอบของเลือดที่ไม่จำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุได้ แต่พบได้น้อยมากในการตรวจกรองของธนาคารเลือดในปัจจุบัน

หากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการอย่างไร?

     ในกรณีตับอักเสบเฉียบพลันซึ่งพบในเด็กโต, ผู้ใหญ่ อาจมีอาการ

  • อ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด
  • คลื่นไส้  อาเจียน  น้ำหนักลด
  • จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต
  • ปัสสาวะเข้ม  ตาเหลือง

     อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นในเวลา 2 – 3 สัปดาห์ และร่างกายจะค่อยๆ กำจัดไวรัสตับอักเสบบีออกไปพร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีซ้ำอีก ผู้ป่วยร้อยละ 1 – 5 อาจโชคไม่ดีไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ เกิดการติดเชื้อเรื้อรังโดยเฉพาะหากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการอักเสบร่วมด้วย  ซึ่งหากมีการอักเสบตลอดเวลาจะทำให้มีการตายของเซลล์ตับ เกิดมีพังผืดเพิ่มมากขึ้นจนเป็นตับแข็งในที่สุด ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งกลายเป็นมะเร็งตับซ้ำเดิม ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังมักไม่มีอาการแม้จะมีตับเสียหายมากและกรณีนี้จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

ไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน

     วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีประกอบด้วย โปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg) ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน  สามารถฉีดตั้งแต่แรกเกิดโดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และ ฉีดเข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน

ใครควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี?

     ในปัจจุบันวัคซีนมีราคาถูกลงมากและมีความปลอดภัยสูงจึงควรฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและยังไม่มีภูมิต้านทานทุกคน ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่

  • ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี
  • ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
  • บุคลากรทางการแพทย์
  • สามีหรือภรรยาของผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
  • ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไต
  • ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
  • ผู้ป่วยที่ต้องได้รับยากดภูมิต้านทาน

ต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนหรือไม่?

     ในทารกไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีน แต่ในผู้ใหญ่ควรตรวจเลือดก่อน เนื่องจากอาจมีการติดเชื้อหรืออาจมีภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีแล้ว โดยตรวจ HBsAg ว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ และตรวจ anti-HBs ว่ามีภูมิต้านทานเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ โดยต้องมีระดับของภูมิต้านทานมากกว่า 10 ยูนิต/มล.

ฉีดวัคซีนอย่างไร?

     การฉีดวัคซีนแนะนำให้ฉีด 3 เข็มเข้ากล้ามเนื้อที่ต้นแขน เดือนที่ 0, 1 และ 6 ตามลำดับ วัคซีนเข็มที่สองไม่ควรฉีดก่อน 1 เดือน หากเลยกำหนด 1 เดือนให้ฉีดเข็มที่ 2 ทันทีที่นึกได้ และนับต่อไปอีก 5 เดือนสำหรับเข็มที่ 3 การฉีดให้ฉีดเข้ากล้ามที่ต้นแขนเท่านั้น ยกเว้นในทารกควรฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่หน้าขาเพราะแขนมีขนาดเล็กมาก ขนาดที่ฉีดหากอายุน้อยกว่า 18 ปีให้ใช้ขนาดเด็ก และมากกว่า 18 ปี ให้ใช้ขนาดผู้ใหญ่

     วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีในปัจจุบันผลิตโดยใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรมทั้งสิ้น ไม่มีวัคซีนที่ผลิตจากน้ำเลือดอีกแล้ว การฉีดวัคซีนทั้ง 3 เข็มจะใช้ของบริษัทใดก็สามารถใช้ทดแทนกันได้หมด

 

การฉีดวัคซีนมีผลเสียหรือไม่?

     การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีมีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง บางรายอาจมีไข้ต่ำๆ 1-2 วัน เจ็บหรือมีผื่นแดงบริเวณที่ฉีดวัคซีน

ต้องตรวจเลือดซ้ำเพื่อดูภูมิต้านทานหลังฉีดวัคซีนครบหรือไม่?

     เมื่อฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม โดยทั่วไปมักจะมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นร้อยละ 95 จึงไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดซ้ำ เพื่อดูว่ามีภูมิต้านทานหรือไม่   ยกเว้นในบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงควรตรวจดูระดับของภูมิต้านทาน 1-2 เดือน หลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 3

จำเป็นต้องฉีดกระตุ้นหรือไม่?

     ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนครบจะค่อยๆ ลดลงตามระยะเวลามากกว่า 1 ใน 3 อาจมีภูมิตกลงจนตรวจไม่พบ แต่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นอย่างรวดเร็ว หากได้รับเชื้อจึงไม่มีความจำเป็นต้องฉีดกระตุ้นอีก ยกเว้นในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับการฟอกเลือดหรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ติดต่อเรา

วันและเวลาทำการ

วันจันทร์, พุธ-ศุกร์ : 17.00-20.00 น.

วันอาทิตย์ : 8.30 – 12.00 น.

หยุด วันอังคาร และเสาร์