วัคซีนงูสวัด: เกราะป้องกันความเจ็บปวดที่คุณสร้างได้ | ใครควรฉีด? อัปเดตล่าสุดจากสมาคมโรคติดเชื้อฯ
หลายท่านอาจเคยได้ยินถึงความทรมานของ “โรคงูสวัด” ที่มาพร้อมกับอาการปวดแสบปวดร้อนและตุ่มน้ำใสเรียงเป็นแนวยาวตามเส้นประสาท สร้างความเจ็บปวดจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ความเจ็บปวดนี้สามารถป้องกันได้ด้วยประสิทธิภาพที่สูงมากจาก
“วัคซีนงูสวัด”
วันนี้ บุญยินดีคลินิก จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนงูสวัดให้มากขึ้น โดยอ้างอิงข้อมูลและคำแนะนำล่าสุดจาก สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักได้รับการป้องกันที่ดีที่สุด

ทำความรู้จัก "โรคงูสวัด" ภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ
งูสวัด (Shingles) เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus – VZV) ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสในวัยเด็ก หลังจากที่เราหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสนี้ไม่ได้หายไปไหน แต่จะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทของร่างกาย และเมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอหรือภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อที่สงบนิ่งอยู่ก็จะกลับมาโจมตีเราอีกครั้งในรูปแบบของ “โรคงูสวัด”

อาการที่น่ากลัวของงูสวัด
- ปวดแสบปวดร้อน: เป็นอาการนำที่ทรมานมาก บางรายเจ็บเหมือนโดนไฟช็อตหรือมีดกรีด
- ผื่นแดงและตุ่มน้ำใส: ขึ้นเป็นแนวยาวตามเส้นประสาท เช่น บริเวณเอว หลัง หน้าอก หรือใบหน้า
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง: ที่น่ากังวลที่สุดคือ อาการปวดปลายประสาทหลังเป็นงูสวัด (Post-Herpetic Neuralgia – PHN) ซึ่งเป็นอาการปวดเรื้อรังที่อาจคงอยู่นานเป็นเดือนหรือเป็นปี แม้ผื่นจะหายแล้วก็ตาม
ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีดวัคซีนงูสวัด?
คำแนะนำจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย
เพื่อเป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำในการฉีดวัคซีนงูสวัด (ชนิด Recombinant Zoster Vaccine หรือ Shingrix ซึ่งเป็นชนิดที่แนะนำในปัจจุบัน) ในกลุ่มเป้าหมายหลัก ดังนี้
ผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป: ทุกคนในกลุ่มวัยนี้ควรได้รับการฉีดวัคซีน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดในการเกิดโรคและภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: หรือมีความเสี่ยงที่จะมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) หรือผู้ติดเชื้อ HIV
ชนิดของวัคซีนงูสวัดที่แนะนำในปัจจุบัน
ปัจจุบันวัคซีนงูสวัดที่สมาคมโรคติดเชื้อฯ และทั่วโลกแนะนำเป็นหลักคือ วัคซีนชนิดซับยูนิต (Recombinant Subunit Zoster Vaccine – RZV) หรือที่รู้จักกันในชื่อการค้าว่า “Shingrix” ซึ่งมีจุดเด่นคือ:
ประสิทธิภาพสูง: สามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้มากกว่า 90%
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ดีเยี่ยม: ลดความเสี่ยงของอาการปวดปลายประสาท (PHN) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความปลอดภัย: เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย สามารถฉีดในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องได้
การฉีดวัคซีน Shingrix: ต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม เข้ากล้ามเนื้อ โดยเว้นระยะห่างระหว่างเข็มที่ 2-6 เดือน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับวัคซีนงูสวัด
Q: เคยเป็นงูสวัดมาแล้ว จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่?
A: ควรฉีดอย่างยิ่ง การเป็นงูสวัดแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก การฉีดวัคซีนจะช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแนะนำให้ฉีดหลังจากอาการของโรคหายดีแล้วอย่างน้อย 6 เดือน
Q: ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ต้องฉีดไหม?
A: ควรฉีด เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่กว่า 90% เคยได้รับเชื้ออีสุกอีใสมาแล้วโดยไม่รู้ตัวหรือไม่แสดงอาการ การฉีดวัคซีนตามเกณฑ์อายุจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
Q: วัคซีนงูสวัดมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
A: ผลข้างเคียงที่พบได้เป็นอาการทั่วไปและไม่รุนแรง เช่น ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, อ่อนเพลีย หรือมีไข้ต่ำๆ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน
อย่ารอให้ความเจ็บปวดมาเยือน... สร้างเกราะป้องกันได้ตั้งแต่วันนี้
การลงทุนกับสุขภาพคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด การฉีดวัคซีนงูสวัดในวันนี้ คือการป้องกันความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ในกลุ่มวัยนี้ นี่คือของขวัญด้านสุขภาพที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งที่คุณมอบให้พวกเขาได้
ที่ บุญยินดีคลินิก ราชบุรี เรามีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดชนิด Shingrix (ชนิดที่สมาคมโรคติดเชื้อฯ แนะนำ) พร้อมให้บริการดูแลโดยทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์
ปกป้องตัวคุณเองและคนที่คุณรักตั้งแต่วันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่: บุญยินดีคลินิก โทร: 082-058-0585
